มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล เข้าร่วมประชุมกับ สกสว. ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์งานวิจัยและนวัตกรรมด้วย TRIUP Act ยกระดับเศรษฐกิจและนวัตกรรมของชาติ
วันที่ 29-30 กันยายน 2568 นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุดา หันกลาง รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการ และนางสาวสุชาดา สนิทสิงห์ เจ้าหน้าที่งานนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญา มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล เข้าร่วมอบรมหัวข้อ “สรุปสาระสำคัญพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 และกฎหมายฉบับรองที่สำคัญ” และการใช้งานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่รองรับพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งสร้างความเข้าใจให้กับหน่วยงานให้ทุน หน่วยงานรับทุน และนักวิจัยทั้งจากภาครัฐ–เอกชนทั่วประเทศ ทราบถึงเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 โดยย้ำว่า กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นเพื่อ “ส่งเสริม” ให้งานวิจัยและนวัตกรรมได้รับการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และเชิงสังคม มากกว่าการเป็นเครื่องมือ “บังคับ” หรือ “ลงโทษ” โดยหนึ่งในสาระสำคัญคือ การปลดล็อกการถือครองสิทธิความเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม จากเดิมที่เป็นของผู้ให้ทุน มาเป็นของผู้รับทุน โดยนักวิจัยต้องแสดงข้อค้นพบใหม่ต่อผู้รับทุน ซึ่งต้องแจ้งความประสงค์การขอรับสิทธิ และเสนอแผนการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมภายในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ผ่านระบบสารสนเทศรองรับ พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 (TRIUP Act IS) กรณีผู้รับทุนไม่ประสงค์จะเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม ผู้ให้ทุนจะแจ้งนักวิจัยผ่านหัวหน้าโครงการวิจัยที่ประสงค์จะเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม พร้อมทั้งเสนอแผนและกลไกการใช้ประโยชน์ภายในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ทั้ง 2 กรณีดังกล่าว หากมิได้ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าสละสิทธิ์ในผลงานวิจัยและนวัตกรรมนั้น และผู้ให้ทุนจะดำเนินการสรรหาหน่วยงานอื่นที่มีศักยภาพและความพร้อม เพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงสุดต่อไป
การอบรมครั้งนี้มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ได้ตะหนักถึงความร่วมมือกับ สกสว. ในการเป็นกลไกหลักการขับเคลื่อนกฎหมายและนโยบายด้านการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมสร้างประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยการปลดล็อกความเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมตามกฎหมายนี้ ไม่เพียงสร้างแรงจูงใจให้แก่นักวิจัยและผู้รับทุนเท่านั้น แต่ยังวางรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ที่เอื้อต่อการลงทุน การพัฒนานวัตกรรม และการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศต่อไป
อ่านข่าวต่อได้ที่ https://www.tsri.or.th/
